เสริมหน้าอก

ประเภทของการเสริมหน้าอก
1. การเสริมหน้าอกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม หรือ Filler
2. การเสริมหน้าอกด้วยไขมันของตัวเอง
3. การเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน


ข้อมูลหลัก 4 ข้อ ที่ควรจะคำนึงถึงสำหรับการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน
1. แผลที่ทำการผ่าตัด (Incision line)

2. ตำแหน่งของชั้นเนื้อเยื่อที่วางเต้านมเทียม (Placement Layer)
3. ลักษณะของถุงเต้านมเทียม (Prosthetic Implant) แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1.แบ่งตามลักษณะของผิวถุงจะแบ่งเป็นแบบ ผิวเรียบ (Smooth) และ ผิวเนื้อทราย (Texture)
2.สารที่บรรจุในถุง จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
– แบบน้ำเกลือ
– แบบ Medical Silicon Gel
3. รูปทรงของถุงเต้านมจะแบ่งออกได้ 2 แบบ คือ และรูปทรงกลม (Round Breast implant) และทรงหยดน้ำหรือทรงธรรมชาติ ( Anatomical, Contour)

4. ขนาดของถุงเต้านมเทียม (Size)
- 1 cup = 236 cc.
- 1/2cup =118 cc.
- 1/4 cup=59 cc.
- 1/3 cup=78 cc.
ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- การผ่าตัดเสริมหน้าอก ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 2-4 ชั่วโมง โดยให้คนไข้ดมยาสลบ เพื่อความสะดวกในการผ่าตัด
- หลังจากนั้นแพทย์จะ ผ่าตัดเปิดแผลที่รักแร้ ปานนม หรือใต้ราวนม แล้วแต่ว่าจะตกลงกับคนไข้ว่าอย่างไร โดยปัจจุบันนี้มักนิยมผ่าตัดเข้าทางรักแร้ มากที่สุด เนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงแผลบนเนินอกได้ดีกว่า
- ต่อมาแพทย์จะทำช่องระหว่างเนื้อเต้านมและกล้ามเนื้อแผงอก ให้เป็นช่องกว้างขนาดพอเหมาะที่จะใส่ถุงซิลิโคน ที่เลือกเอาไว้ได้ เมื่อห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว แพทย์จึงจะค่อยๆใส่ ถุงนมเทียม เข้าไปทีละน้อยจนหมด
- เมื่อจัดรูปทรงเข้าที่แล้ว จึงเย็บแผลปิดด้วยไหมเล็กๆ จะเป็นไหมละลายหรือไม่ละลายก็ได้
การดูแลหลังผ่าตัด
- ภายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกคนไข้จะได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน เพื่อจะดูอาการหลังทำ โดยคนไข้จะได้รับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยานอนหลับ หรือตามคำชี้แนะของแพทย์ เมื่ออาการคงที่แล้ว ก็สามารถกลับบ้านได้ และแพทย์จะ นัดมาตรวจหน้าอก ในอีกประมาณ 5 – 7 วันหลังจากทำ
- หลังจากผ่าตัด ส่วนมากคนไข้จะมีอาการปวดระบมบริเวณหน้าอก และบริเวณรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 2-3 วันหลังผ่าตัดเสร็จสิ้น โดยเฉพาะเวลายกแขนหลัง 3 วันไปแล้ว อาการปวดก็จะเบาบาง
- เนื่องมาจากในขณะผ่าตัด คนไข้จะต้องดมยาสลบและต้องใส่ท่อเพื่อช่วยการหายใจ โดยเหตุนั้นหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้อาจจะมีอาการเจ็บคอบ้าง รวมไปถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วอาการคลื่นไส้อาเจียน จะดีขึ้นเป็นปกติเมื่อได้รับยาระงับอาการอาเจียน ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ก็จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- ในวันแรกภายหลังผ่าตัด แพทย์จะเอาสายระบายน้ำเหลืองออก และแกะผ้าพันหน้าอกออกให้ และพันกลับไปใหม่ในลักษณะเหมือนเดิม บางท่านถ้าผ้ารัดหลุดหรือร่นลงมา แพทย์จะให้เปลี่ยน ใส่ชุดชั้นในที่เป็นแบบสปอร์ตบรา หรือชุดชั้นในแบบไม่มีโครง และที่สำคัญควรใส่ทั้งกลางวัน และกลางคืน ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- จากนั้นแพทย์จะสอนเทคนิคการนวดหน้าอกให้คนไข้ทราบ เพื่อป้องกันการเกิดพังพืดหดรัดหลังการผ่าตัดโดยแนะนำให้คนไข้เริ่มนวดหน้าอก ในวันที่ 7 ภายหลังตัดไหม โดยวันละราวๆ 2 – 3 ครั้ง ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ให้นวดเพียงวันละ 1 – 2 ครั้งก็พอ และต้องทำอย่างติดต่อกัน อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี หรือตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อที่จะให้หน้าอกนั้นดูสวยยิ่งขึ้น และสามารถใส่ชุดชั้นในได้ตามเป็นปกติ ถ้าการนวดหน้าอกทำได้ดีเป็นปกติ
- วิธีการนวด โดยการกดถุงลงล่างขึ้นบนเข้าด้านในและออกด้านนอกใน 4 ทิศทาง หลังจากนั้นใช้มือทั้ง 2 ข้างกดที่ถุง เต้านมให้มีการกลิ้งไปมาในมือ ใช้มือฝั่งตรงข้ามกันบีบเต้านมด้านล่างของเต้านมให้ถุงขยับขึ้นบนที่อยู่ให้สุด ในท่านั่งหรือยืน
- ส่วนหน้าอกที่เสริมไปแล้วนั้น จะยุบลงและมองดูสวยประมาณ 1 เดือนภายหลังทำ และจะเข้าที่ก็ประมาณ 3 – 6 เดือนหลังทำ แต่โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกอาจมีอาการปวดเล็กน้อย โดยเป็นเพียงบางตำแหน่ง หรืออาจมีเสียงเหมือนคล้ายลมหรือน้ำ เวลาที่กำลังนวดหน้าอก หรืออาจจะรู้สึกชาได้บ้าง บริเวณหน้าอกหรือที่หัวนม โดยอาการเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น และจะหายไปเองเป็นปกติธรรมดา
- ภายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกคนไข้จะได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน เพื่อจะดูอาการหลังทำ โดยคนไข้จะได้รับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยานอนหลับ หรือตามคำชี้แนะของแพทย์ เมื่ออาการคงที่แล้ว ก็สามารถกลับบ้านได้ และแพทย์จะ นัดมาตรวจหน้าอก ในอีกประมาณ 5 – 7 วันหลังจากทำ
- หลังจากผ่าตัด ส่วนมากคนไข้จะมีอาการปวดระบมบริเวณหน้าอก และบริเวณรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 2-3 วันหลังผ่าตัดเสร็จสิ้น โดยเฉพาะเวลายกแขนหลัง 3 วันไปแล้ว อาการปวดก็จะเบาบาง
- เนื่องมาจากในขณะผ่าตัด คนไข้จะต้องดมยาสลบและต้องใส่ท่อเพื่อช่วยการหายใจ โดยเหตุนั้นหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้อาจจะมีอาการเจ็บคอบ้าง รวมไปถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วอาการคลื่นไส้อาเจียน จะดีขึ้นเป็นปกติเมื่อได้รับยาระงับอาการอาเจียน ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ก็จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
- ในวันแรกภายหลังผ่าตัด แพทย์จะเอาสายระบายน้ำเหลืองออก และแกะผ้าพันหน้าอกออกให้ และพันกลับไปใหม่ในลักษณะเหมือนเดิม บางท่านถ้าผ้ารัดหลุดหรือร่นลงมา แพทย์จะให้เปลี่ยน ใส่ชุดชั้นในที่เป็นแบบสปอร์ตบรา หรือชุดชั้นในแบบไม่มีโครง และที่สำคัญควรใส่ทั้งกลางวัน และกลางคืน ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- จากนั้นแพทย์จะสอนเทคนิคการนวดหน้าอกให้คนไข้ทราบ เพื่อป้องกันการเกิดพังพืดหดรัดหลังการผ่าตัดโดยแนะนำให้คนไข้เริ่มนวดหน้าอก ในวันที่ 7 ภายหลังตัดไหม โดยวันละราวๆ 2 – 3 ครั้ง ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ให้นวดเพียงวันละ 1 – 2 ครั้งก็พอ และต้องทำอย่างติดต่อกัน อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี หรือตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อที่จะให้หน้าอกนั้นดูสวยยิ่งขึ้น และสามารถใส่ชุดชั้นในได้ตามเป็นปกติ ถ้าการนวดหน้าอกทำได้ดีเป็นปกติ
- วิธีการนวด โดยการกดถุงลงล่างขึ้นบนเข้าด้านในและออกด้านนอกใน 4 ทิศทาง หลังจากนั้นใช้มือทั้ง 2 ข้างกดที่ถุง เต้านมให้มีการกลิ้งไปมาในมือ ใช้มือฝั่งตรงข้ามกันบีบเต้านมด้านล่างของเต้านมให้ถุงขยับขึ้นบนที่อยู่ให้สุด ในท่านั่งหรือยืน
- ส่วนหน้าอกที่เสริมไปแล้วนั้น จะยุบลงและมองดูสวยประมาณ 1 เดือนภายหลังทำ และจะเข้าที่ก็ประมาณ 3 – 6 เดือนหลังทำ แต่โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกอาจมีอาการปวดเล็กน้อย โดยเป็นเพียงบางตำแหน่ง หรืออาจมีเสียงเหมือนคล้ายลมหรือน้ำ เวลาที่กำลังนวดหน้าอก หรืออาจจะรู้สึกชาได้บ้าง บริเวณหน้าอกหรือที่หัวนม โดยอาการเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น และจะหายไปเองเป็นปกติธรรมดา

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก
- การตึงแข็งและพังผืดล้อมถุงนมเทียม เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก ทั้งนี้ปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุน การเกิดของพังผืดนี้ ได้แก่ เทคนิคการผ่าตัดของแพทย์ อาจจะเกิดเลือดออกหรือเลือดคั่งที่โพรงเต้านมเทียม การเกิดการอักเสบรอบถุงนม การเลือกขนาดของถุงนมที่ไม่เหมาะสม ทำให้คลำเจอขอบของซิลิโคน (โดยมากมักจะพบในพวกที่ชอบเสริมหน้าอก ให้มีขนาดใหญ่ ๆมากกว่า) และ การดูแลตัวเองของคนไข้ที่ไม่ดีพอ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของการผ่าตัด จะต้อง นวดหน้าอก อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันผลข้างเคียงต่างๆเหล่านี้ได้
- ระดับของเต้านมที่ไม่เท่ากัน โดยมากมักเกิดจากการวางถุงนมที่ไม่ดีพอ หรือการที่ถุงนมเคลื่อนตัวไปอยู่ในระดับที่สูง หรือต่ำกว่าปกติ ซึ่งหากแตกต่างกันมาก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดใหม่ เพื่อเข้าไปจัดตำแหน่งของถุงนมใหม่
- อาการชาที่ปานนม หัวนม โดยมากมักเกิดขึ้นในช่วงระยะแรก ๆ เนื่องจากการเลาะแหวกช่องสำหรับวางถุงนมนั้น อาจจะมีการดึงรั้งเส้นประสาทที่เลี้ยงหัวนมและปานนมได้ แต่มักจะไม่เกิดขึ้นถาวร และจะหายชาได้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณไม่เกิน 5 – 6 เดือน
- แผลเป็นที่ผ่าตัดมีการปูดนูน แผลที่รักแร้ ปานนม หรือใต้ราวนมนั้น อาจจะมีลักษณะของแผลเป็นที่ไม่สวยงามได้ ทั้งนี้อาจเกิดจากการอักเสบของแผล ความตึงของผิวหนัง รวมทั้งสภาพผิวหนังของคนไข้เอง

เสริมหน้าอกที่ Chanisa Cosmetic Clinic ดียังไง?
✔️ แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่ง – เชี่ยวชาญด้านการเสริมหน้าอก ออกแบบให้เหมาะสมกับรูปร่างแต่ละบุคคล
✔️ เทคนิคพิเศษ Soft Touch – เนินอกนุ่ม สวยเป็นธรรมชาติ
✔️ ซิลิโคนคุณภาพสูง – เลือกใช้ซิลิโคนมาตรฐานระดับโลก สัมผัสนุ่ม ทรงสวย อยู่ได้นาน
✔️ แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว – ใช้เทคนิคที่ลดการบอบช้ำ พักฟื้นเร็ว
✔️ ออกแบบเฉพาะบุคคล – ปรับขนาด ทรง และตำแหน่งให้เหมาะกับรูปร่าง เพื่อความมั่นใจ
✔️ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน – ห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ เครื่องมือทันสมัย ดูแลตามมาตรฐานทางการแพทย์
✔️ ดูแลครบวงจร – มีบริการติดตามอาการ พร้อมคำแนะนำเพื่อให้ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย
ขั้นตอนในการผ่าตัด
