เสริมสะโพก
การผ่าตัดเสริมสะโพกหรือเสริมก้น จะช่วยให้คุณมีบั้นท้ายที่งอนงามอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มความมั่นใจในสรีระ เวลาสวมใส่กางเกงหรือกระโปรง ทำให้บั้นท้ายดูงอนงามได้สัดส่วนยิ่งขึ้น
ประเภทของการเสริมสะโพก
สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี คือ
- การเสริมด้วยไขมันของตัวเอง โดยเป็นการเสริมด้วยไขมันที่ดูดออกจากร่างกายของตัวเอง เช่น ดูดจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา เป็นต้น การฉีดไขมันเสริมสะโพกจะต้องใช้มากประมาณ 200-300 ซีซี สามารถทำได้เฉพาะผู้ที่มีไขมันเพียงพอเท่านั้น ซึ่งข้อดีของการเสริมด้วยไขมันตัวเองนั้น เนื่องจากเป็นไขมันของตัวเราเอง ฉะนั้นร่างกายจะสามารถยอมรับได้ จึงทำให้ไม่มีผลกระทบหรือผลข้างเคียงใด ๆ และได้ประโยชน์จากส่วนที่ถูกดูดออกไปด้วย เช่น ไขมันส่วนเกินตามหน้าท้อง ต้นขา ก็จะลดลงไป และจะไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ จะมีเพียงแผลเจาะเล็ก ๆ เท่านั้น โดยคนไข้จะ ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล ไม่ต้องดมยาสลบ สามารถใส่กางเกงรัดสะโพกกลับบ้านได้ แต่มีข้อเสียก็คือ ไขมันของตัวเราที่ฉีดเข้าไป มีโอกาสที่ถูกดูดซึมโดยร่างกายกายได้ และอาจจะสลายบางส่วน ในระยะเวลาหนึ่งทำให้ขนาดของสะโพกเปลี่ยนแปลง และอาจจะไม่พอดีตามที่เราต้องการ
- การเสริมด้วยถุงซิลิโคน ซึ่งเป็นซิลิโคนเจลที่มีคุณภาพสูง ผลิตมาเพื่อใช้สำหรับการเสริมสะโพกโดยเฉพาะ จึงมีความแข็งแรงและเหนียวเป็นอย่างมาก สามารถรองรับการกดทับและการกระแทกได้เป็นอย่างดี มีความตึงตัวสูงจึงทำให้ไม่เสียรูปทรง และปลอดภัย โดยสามารถเลือกขนาดให้เหมาะสมพอดี กับสะโพกของตัวเองได้
ชนิดของถุงซิลิโคนเสริมสะโพกมี 2 เเบบ
- ถุงเสริมสะโพก เป็นถุงที่ทำด้วยซิลิโคน ภายในบรรจุ ซิลิโคนเจล เช่น เดียวกับถุงซิลิโคนที่ทำการเสริมหน้าอกแต่มีรายละเอียดแตกต่างกัน ถุงซิลิโคน สำหรับเสริมสะโพกภายในจะบรรจุด้วยซิลิโคนเจลเท่านั้น ไม่มีการผลิตถุงน้ำเกลือ เนื่องจากอัตราการรั่วของน้ำเกลือจะมีได้มากกว่าถุงเจล
- ซิลิโคนชนิดแผ่น เป็นซิลิโคนแท่งที่มีการทำขึ้นมาเพื่อเสริมสะโพกโดยมีลักษณะเช่นเดียวกับซิลิโคนแท่ง สำหรับการเสริมจมูก แต่มีการผลิตมาเป็นแผ่นใหญ่ และมีรูปร่างโค้งงอตามรูปแบบของสะโพก
ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมสะโพก เสริมก้น ด้วยถุงซิลิโคน
- การผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบ ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง โดยแพทย์จะทำ การผ่าตัดเปิดแผลบริเวณร่องก้น เป็นแนวตั้งบริเวณกระดูกก้นกบ ยาวประมาณ 2 – 3 นิ้ว ข้อดี ของการผ่าบริเวณนี้ก็คือ ทำให้ไม่เกิดแผลเป็นที่สังเกตุได้ และเป็นการผ่าเปิดแผลเพียงแผลเดียว โดยสามารถใส่ถุงซิลิโคนเข้าได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา สำหรับขนาดของถุงซิลิโคนนั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินให้เหมาะสมกับคนไข้
- จากนั้นศัลยแพทย์จะสร้างช่องว่างสำหรับใส่ถุงซิลิโคน โดยยกส่วนของชั้นกล้ามเนื้อขึ้น เพื่อให้เกิดเป็นช่องสำหรับวางซิลิโคน ซึ่งถุงซิลิโคนจะถูกวางไว้ใต้ชั้นกล้ามเนื้อแก้มก้น ระหว่างกล้ามเนื้อส่วนนอกและส่วนกลาง ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วย ลดปัญหาการเคลื่อนที่ของถุงซิลิโคน และการเกิดพังผืดด้วย อีกทั้งช่วยเสริมความแข็งแรงของถุงซิลิโคนที่ใส่เข้าไป
- ระหว่างการผ่าตัดแพทย์จะดูสัดส่วนที่เท่ากันของก้นทั้ง 2 ข้างให้เป็นธรรมชาติที่สุด บางกรณีแพทย์อาจจะทำการ ดูดไขมันส่วนเกิน บริเวณนั้นออกให้ด้วย เพื่อให้ได้รูปทรงของสะโพกที่สวยงามเหมาะสม จากนั้นทำการเย็บปิดบาดแผล
การดูแลหลังผ่าตัด
- หลังผ่าตัดจะมีอาการเจ็บเล็กน้อย แต่ต้องการการดูแลอย่างมาก โดยคนไข้จะต้องนอนคว่ำ โดยที่ ไม่นั่งทับซิลิโคนในช่วง 3 – 5 วัน เพื่อไม่ให้ซิลิโคนเคลื่อนผิดที่ และป้องกันไม่ให้แผลแยกด้วย และจะช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น
- สามารถทำความสะอาดแผลได้ปกติ โดยใช้สำลีชุปน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือ เช็ดทำความสะอาดและซับให้แห้ง ในช่วงเวลาเช้าและเย็นของทุกวัน
- แผลผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ถึงจะติดสนิท โดยแพทย์จะนัดมาตรวจแผล และตัดไหมที่ร่องก้นให้
- ผู้ป่วยสามารถนั่งและนอนได้ตามปกติ หลังผ่าตัดประมาณ 2 – 4 สัปดาห์
- หลังผ่าตัดควร หลีกเลี่ยงการฉีดยาบริเวณสะโพกหรือก้น