LOGO FINAL1 (1) copy

เบอร์ติดต่อ
099-242-4714

เสริมหน้าอก

ประเภทของการเสริมหน้าอก

1. การเสริมหน้าอกด้วยการฉีดสารเติมเต็ม หรือ Filler

เป็นการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดสารจำพวก Hyarulonic Acid โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับคนที่อยากเพิ่มขนาดหน้าอกแต่ไม่อยากผ่าตัด ซึ่งหน้าอกจะมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยใช้เวลาไม่นานเพียง 30 นาที ซึ่งสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติโดยไม่ต้องพักฟื้น โดยหน้าอกจะคงสภาพความสวยงามนาน 1-2 ปี 

2. การเสริมหน้าอกด้วยไขมันของตัวเอง

โดยเป็นการเสริมด้วยไขมันที่ดูดออกจากร่างกายของตัวเอง เช่น ดูดจากบริเวณหน้าท้อง ต้นขา เป็นต้น การฉีดไขมันเสริมหน้าอกจะต้องใช้ประมาณ 200-300 ซีซี (ถ้าต้องการเพิ่มให้ใหญ่กว่านี้ควรใส่ด้วยถุงซิลิโคนจะดีที่สุด) สามารถทำได้เฉพาะผู้ที่มีไขมันเพียงพอเท่านั้น ซึ่งข้อดีของการเสริมด้วยไขมันตัวเองนั้น เนื่องจากเป็นไขมันของตัวเราเอง ฉะนั้นร่างกายจะสามารถยอมรับได้ จึงทำให้ไม่มีผลกระทบหรือผลข้างเคียงใด ๆ และได้ประโยชน์จากส่วนที่ถูกดูดออกไปด้วย เช่น ไขมันส่วนเกินตามหน้าท้อง ต้นขา ก็จะลดลงไป และจะไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ จะมีเพียงแผลเจาะเล็ก ๆ เท่านั้น โดยคนไข้จะ ฟื้นตัวเร็ว ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล ไม่ต้องดมยาสลบ แต่มีข้อเสียก็คือ ไขมันของตัวเราที่ฉีดเข้าไป มีโอกาสที่ถูกดูดซึมโดยร่างกายกายได้ และอาจจะสลายบางส่วน ในระยะเวลาหนึ่งทำให้ขนาดของหน้าอกเปลี่ยนแปลง และอาจจะไม่พอดีตามที่เราต้องการ

3. การเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน

คือการผ่าตัดเพิ่มขนาดหน้าอกโดยการใส่ถุงเต้านมเทียม ปัจจุบันวิธีนี้เป็นที่ยอมรับกันและมีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าซิลิโคนเมื่อใส่ในร่างกายจะไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ถุงซิลิโคนสามารถอยู่ในคนเราได้ตลอดชีวิต ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ถุงซิลิโคนรั่วหรือเกิดพังผืดที่มีมากเกินไป  

ข้อมูลหลัก 4 ข้อ ที่ควรจะคำนึงถึงสำหรับการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน

1. แผลที่ทำการผ่าตัด (Incision line)

2. ตำแหน่งของชั้นเนื้อเยื่อที่วางเต้านมเทียม (Placement Layer)

3. ลักษณะของถุงเต้านมเทียม (Prosthetic Implant) แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ

3.1 แบ่งตามลักษณะของผิวถุงจะแบ่งเป็นแบบ ผิวเรียบ (Smooth) และ ผิวเนื้อทราย (Texture)
3.2 สารที่บรรจุในถุง จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ
– แบบน้ำเกลือ
– แบบ Medical Silicon Gel
3.3 รูปทรงของถุงเต้านมจะแบ่งออกได้ 2 แบบ คือ และรูปทรงกลม (Round Breast implant) และทรงหยดน้ำหรือทรงธรรมชาติ ( Anatomical, Contour)

4. ขนาดของถุงเต้านมเทียม (Size)

ขนาดของเต้านมเทียม แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ก็ตาม แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกขนาดที่เหมาะสมและได้รูป
1 cup = 236 cc.
1/2cup =118 cc.
1/4 cup=59 cc.
1/3 cup=78 cc.

ขั้นตอนการผ่าตัดเสริมหน้าอก

  • การผ่าตัดเสริมหน้าอก ใช้ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 2-4 ชั่วโมง โดยให้คนไข้ดมยาสลบ เพื่อความสะดวกในการผ่าตัด
  • หลังจากนั้นแพทย์จะ ผ่าตัดเปิดแผลที่รักแร้ ปานนม หรือใต้ราวนม แล้วแต่ว่าจะตกลงกับคนไข้ว่าอย่างไร โดยปัจจุบันนี้มักนิยมผ่าตัดเข้าทางรักแร้ มากที่สุด เนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงแผลบนเนินอกได้ดีกว่า
  • ต่อมาแพทย์จะทำช่องระหว่างเนื้อเต้านมและกล้ามเนื้อแผงอก ให้เป็นช่องกว้างขนาดพอเหมาะที่จะใส่ถุงซิลิโคน ที่เลือกเอาไว้ได้ เมื่อห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว แพทย์จึงจะค่อยๆใส่ ถุงนมเทียม เข้าไปทีละน้อยจนหมด
  • เมื่อจัดรูปทรงเข้าที่แล้ว จึงเย็บแผลปิดด้วยไหมเล็กๆ จะเป็นไหมละลายหรือไม่ละลายก็ได้ 

การดูแลหลังผ่าตัด

  1. ภายหลังผ่าตัดเสริมหน้าอกคนไข้จะได้พักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน เพื่อจะดูอาการหลังทำ โดยคนไข้จะได้รับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยานอนหลับ หรือตามคำชี้แนะของแพทย์ เมื่ออาการคงที่แล้ว ก็สามารถกลับบ้านได้ และแพทย์จะ นัดมาตรวจหน้าอก ในอีกประมาณ 5 – 7 วันหลังจากทำ 
  2. หลังจากผ่าตัด ส่วนมากคนไข้จะมีอาการปวดระบมบริเวณหน้าอก และบริเวณรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ประมาณ 2-3 วันหลังผ่าตัดเสร็จสิ้น โดยเฉพาะเวลายกแขนหลัง 3 วันไปแล้ว อาการปวดก็จะเบาบาง 
  3. เนื่องมาจากในขณะผ่าตัด คนไข้จะต้องดมยาสลบและต้องใส่ท่อเพื่อช่วยการหายใจ โดยเหตุนั้นหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้อาจจะมีอาการเจ็บคอบ้าง รวมไปถึงอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วอาการคลื่นไส้อาเจียน จะดีขึ้นเป็นปกติเมื่อได้รับยาระงับอาการอาเจียน ส่วนเรื่องอาการเจ็บคอ ก็จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน 
  4. ในวันแรกภายหลังผ่าตัด แพทย์จะเอาสายระบายน้ำเหลืองออก และแกะผ้าพันหน้าอกออกให้ และพันกลับไปใหม่ในลักษณะเหมือนเดิม บางท่านถ้าผ้ารัดหลุดหรือร่นลงมา แพทย์จะให้เปลี่ยน ใส่ชุดชั้นในที่เป็นแบบสปอร์ตบรา หรือชุดชั้นในแบบไม่มีโครง และที่สำคัญควรใส่ทั้งกลางวัน และกลางคืน ในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการผ่าตัดเสริมหน้าอก
  5. จากนั้นแพทย์จะสอนเทคนิคการนวดหน้าอกให้คนไข้ทราบ เพื่อป้องกันการเกิดพังพืดหดรัดหลังการผ่าตัดโดยแนะนำให้คนไข้เริ่มนวดหน้าอก ในวันที่ 7 ภายหลังตัดไหม โดยวันละราวๆ 2 – 3 ครั้ง ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ให้นวดเพียงวันละ 1 – 2 ครั้งก็พอ และต้องทำอย่างติดต่อกัน อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี หรือตามคำแนะนำแพทย์ เพื่อที่จะให้หน้าอกนั้นดูสวยยิ่งขึ้น และสามารถใส่ชุดชั้นในได้ตามเป็นปกติ ถ้าการนวดหน้าอกทำได้ดีเป็นปกติ 
  6. วิธีการนวด โดยการกดถุงลงล่างขึ้นบนเข้าด้านในและออกด้านนอกใน 4 ทิศทาง หลังจากนั้นใช้มือทั้ง 2 ข้างกดที่ถุง เต้านมให้มีการกลิ้งไปมาในมือ ใช้มือฝั่งตรงข้ามกันบีบเต้านมด้านล่างของเต้านมให้ถุงขยับขึ้นบนที่อยู่ให้สุด ในท่านั่งหรือยืน 
  7. ส่วนหน้าอกที่เสริมไปแล้วนั้น จะยุบลงและมองดูสวยประมาณ 1 เดือนภายหลังทำ และจะเข้าที่ก็ประมาณ 3 – 6 เดือนหลังทำ แต่โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกอาจมีอาการปวดเล็กน้อย โดยเป็นเพียงบางตำแหน่ง หรืออาจมีเสียงเหมือนคล้ายลมหรือน้ำ เวลาที่กำลังนวดหน้าอก หรืออาจจะรู้สึกชาได้บ้าง บริเวณหน้าอกหรือที่หัวนม โดยอาการเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น และจะหายไปเองเป็นปกติธรรมดา 

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากผ่าตัดเสริมหน้าอก

  1. การตึงแข็งและพังผืดล้อมถุงนมเทียม เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก ทั้งนี้ปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุน การเกิดของพังผืดนี้ ได้แก่ เทคนิคการผ่าตัดของแพทย์ อาจจะเกิดเลือดออกหรือเลือดคั่งที่โพรงเต้านมเทียม การเกิดการอักเสบรอบถุงนม การเลือกขนาดของถุงนมที่ไม่เหมาะสม ทำให้คลำเจอขอบของซิลิโคน (โดยมากมักจะพบในพวกที่ชอบเสริมหน้าอก ให้มีขนาดใหญ่ ๆมากกว่า) และ การดูแลตัวเองของคนไข้ที่ไม่ดีพอ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของการผ่าตัด จะต้อง นวดหน้าอก อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันผลข้างเคียงต่างๆเหล่านี้ได้
  2. ระดับของเต้านมที่ไม่เท่ากัน โดยมากมักเกิดจากการวางถุงนมที่ไม่ดีพอ หรือการที่ถุงนมเคลื่อนตัวไปอยู่ในระดับที่สูง หรือต่ำกว่าปกติ ซึ่งหากแตกต่างกันมาก ก็มีความจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดใหม่ เพื่อเข้าไปจัดตำแหน่งของถุงนมใหม่
  3. อาการชาที่ปานนม หัวนม โดยมากมักเกิดขึ้นในช่วงระยะแรก ๆ เนื่องจากการเลาะแหวกช่องสำหรับวางถุงนมนั้น อาจจะมีการดึงรั้งเส้นประสาทที่เลี้ยงหัวนมและปานนมได้ แต่มักจะไม่เกิดขึ้นถาวร และจะหายชาได้เมื่อเวลาผ่านไปประมาณไม่เกิน 5 – 6 เดือน
  4. แผลเป็นที่ผ่าตัดมีการปูดนูน แผลที่รักแร้ ปานนม หรือใต้ราวนมนั้น อาจจะมีลักษณะของแผลเป็นที่ไม่สวยงามได้ ทั้งนี้อาจเกิดจากการอักเสบของแผล ความตึงของผิวหนัง รวมทั้งสภาพผิวหนังของคนไข้เอง

อัลบั้มรีวิวผลงานเสริมหน้าอก

ขั้นตอนในการผ่าตัด

https://lin.ee/lF8kwf5