การดูดไขมันส่วนเกิน
การปรึกษาแพทย์ก่อนผ่าตัด
1. ปริมาณไขมันที่ต้องการดูด
2. ตำแหน่งที่ต้องการดูดไขมัน โดยทั่วๆไปจะซ่อนไว้ตามรอยพับที่ต่างๆ
3. วิธีที่จะใช้ในการดูดไขมัน
4. ศึกษาถึงแผลเป็นที่เกิดจากการดูดไขมันในแต่ละตำแหน่ง เช่น บริเวณหน้าท้อง แผลทางเข้าจะอยู่ทางสะดือหรือขาหนีบถ้าต้องการดูดไขมันบริเวณที่ต้นขา แผลจะอยู่ที่ขาหนีบ
วิธีการ
ปัจจุบันวิธีการดูดไขมันมีหลายวิธี ซึ่งวิธีที่ทางคลีนิคมีให้บริการมีดังนี้
1. DRY TECHNIQUE เป็นวิธีที่ใช้หัวดูดไขมันโดยตรงไม่ต้องฉีดสารใดเข้าไปก่อน มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดอื่นๆ เช่น การตัดไขมันหน้าท้อง ข้อเสีย ของวิธีนี้คือมีโอกาสเสียเลือดและเกิดความไม่สม่ำเสมอได้มากจึงไม่นิยมทำกัน
2. Standard TECHNIQUE เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้บ่อยที่สุด ทำโดยการฉีดน้ำเกลือผสมกับยาชาและยา ฉีดเข้าไปในบริเวณที่จะดูดไขมันก่อน แล้วใช้หัวดูดขนาดเล็กๆดูดไขมันออกมา ได้ช่วยลดอาการเสียเลือด และลดการเกิดคลื่นหลังผ่าตัดได้มากขึ้น วิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐานในปัจจุบัน
3. Vaser เป็นวิธีการดูดไขมันที่ใช้ Standard TECHNIQUE ร่วมการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ในการทำละลายไขมันก่อนที่จะใช้เครื่องดูดไขมันดูดออก ดังนั้นผลของการสลายไขมันจะได้มากกว่าดูดไขมัน แบบที่ DRY TECHNIQUE และ Standard TECHNIQUE และ ผลข้างเคียงน้อยกว่า คลื่นอัลตราซาวด์ เป็นพลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าโซนิกได้ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์เป็นเวลาหลายปีในหลายสาขา จุดเด่นคือการนำมาใช้สำหรับกำจัดไขมัน ซึ่งสามารถใช้ลดเฉพาะส่วนที่เป็นไขมันส่วนเกินได้ โดยที่เนื้อเยื่อรอบๆ อย่างเช่น เส้นประสาท เส้นเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ไม่ได้ถูกทำให้เสียหายไป ดังนั้นผลลัพธ์หลังทำของผิว ยังมีความเรียบกระชับ เกิดความบอบช้ำน้อย คนไข้ใช้ระยะเวลาพักฟื้นน้อย ลดอาการบวมและอาการปวดหลังผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัด
1. ควรใส่สเตรัดรูปอย่างน้อยประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ได้รูปร่างที่ดีและลดบวม
2. ช่วง 3 วันแรกจะบวมที่สุด แต่จะยุบภายใน 2 – 4 อาทิตย์และยุบเต็มที่ภายใน 3 เดือน ถึง 6 เดือน
3. อาจเป็นรอยช้ำประมาณได้ 1 – 2 อาทิตย์
4. แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบ 5 – 7 วัน
5. อาการบวมประมาณ 2 – 4 อาทิตย์ และ
6. ออกกำลังกายได้ภายใน 2 – 4 อาทิตย์
7. เข้าที่ภายใน 4 – 8 สัปดาห์
